บทที่ 20 ผู้มีปราณธาตุมากกว่าหนึ่ง 2
"ขอรับท่านแม่..." หนิวอ้ายได้วางฝ่ามือด้านขวาทาบไปกับลูกแกวทดสอบที่เยว่ซินหยิบออกมาจากแหวนมิติ เนื่องจากผู้ฝึกตนที่พึ่งปลุกพลังวิญญาณได้สำเร็จนั้น โดยทั่วไปแล้วพลังของปราณธาตุไม่ได้มีความเข้มข้นเด่นชัด ดังนั้นจึงต้องอาศัยลูกแก้วทดสอบนี้เป็นสื่อกลางชักนำปราณธาตุให้ปรากฏเห็นเด่นชัด
วูบ!
จากลูกแก้วสีใสว่างเปล่าได้ปรากฏเป็นกลุ่มหมอกควันสีน้ำเงินเข้ม ก่อนที่จะแปรเปลี่ยนเป็นรัศมีแสงสาดส่องไปทั่วทั่งบริเวณ ผ่านไปเพียงชั่วครู่กลุ่มหมอกสีน้ำเงินที่ผนึกขึ้นเป็นรูปร่างที่ไม่อาจคาดเดาได้ในยามนี้หมุนวนโดยรอบตัวของเด็กหนุ่ม พร้อมกับส่งกลิ่นอายความเยือกเย็นออกมาจนส่งผลให้บรรยากาศโดยรอบลดลงโดยเฉียบพลัน
"โอ้! ปราณธาตุน้ำระดับสาม ระดับสูงสุดอย่างนั้นเลยหรือนี่..." เยว่ซินร้องออกมาด้วยความตกใจ นางไม่คาดคิดว่าเด็กหนุ่มจะสามารถครอบครองปราณธาตุน้ำที่มีความแข็งแกร่งสูงสุดเช่นนี้
“หนิงเอ๋อร์ เจ้ามีปราณธาตุน้ำเช่นเดียวกับบิดาของเจ้า แต่ดูเหมือนว่าได้มีการยกระดับประสานเป็นปราณธาตุน้ำแข็งโดยที่ไม่ต้องประสานกับปราณธาตุลมไปในตัวเเล้ว ช่างยอดเยี่ยมเสียจริง!!!” แม้เย่วซินจะเสียใจเล็กน้อยด้วยเพราะนางคิดว่าบุตรของนางจะมีปราณธาตุไฟเฉกเช่นลูกหลานของตระกูลหวัง แต่ถึงอย่างไรนางได้แต่ยิ้มออกมาด้วยความภูมิใจเช่นกัน เพราะตอนนี้บุตรชายของนางสามารถทำการปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จแล้วนั่นเอง
ปราณธาตุน้ำถือว่าเป็นค่อนข้างมีประโยชน์ในหลากหลายด้าน เพราะว่าปราณธาตุน้ำจะมีความลื่นไหลผันแปรได้อย่างอิสระไร้ซึ่งการควบคุม เท่ากับว่าบุตรของนางจะสามารถใช้ปราณธาตุน้ำออกมาได้หลากหลายรูปแบบไม่มีขีดจำกัด อีกทั้งยังสามารถประสานเข้ากับกระดูกวิญญาณได้เกือบทุกเผ่าพันธ์อสูร ด้วยว่าสิ่งที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของพวกสัตว์อสูรเหล่านั้นย่อมเป็นโลหิตที่ถือว่าเป็นน้ำชนิดหนึ่งไม่ต่างกัน ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดความยากลำบากในการประสานกระดูกวิญญาณและไม่ต้องกังวลถึงความเข้ากันได้ของกระดูกวิญญาณกับปราณธาตุต้นกำเนิดเลยแม้แต่น้อย
“ท่านแม่ขอรับ...” ขณะเดียวกันหนิงอ้ายรู้สึกว่าอีกปราณธาตุในตัว ที่ก่อนหน้านี้เขาสงสัยว่าเป็นธาตุใดในตอนนี้เหมือนมันกำลังจะปะทุออกมาจากร่างกายของเขาตามแรงดึงดูดของวงเวทย์ดังกล่าวอย่างไม่สามารถควบคุมได้เลยแม้เพียงนิด
“ว่าอย่างไรเล่า?” เย่วซินที่กำลังดีใจกับหนิงอ้ายจนไม่ทันได้สังเกตความผิดปกติที่เกิดขึ้น
ทันใดนั้นรอบตัวของเด็กหนุ่มปรากฎอีกกลุ่มหมอกควันขึ้นเป็นสีแดงทองที่แผ่ความร้อนระอุเเต่เต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของพลังชีวิตที่เข้มข้นอย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งยังส่งผลให้บรรดาเหล่าต้นไม้หรือดอกไม้ในบริเวณที่โดนกลุ่มหมอกควันสีเเดงทองประหลาดนี้ต่างค่อย ๆ เหี่ยวเฉายืนต้นตายและกลับมาเติบโตขึ้นเหมือนเดิมโดยใช้เวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ
'เป็นไปได้อย่างไรกัน!!! ท่านพ่อบอกว่าเป็นปราณธาตุที่สาบสูญไปจากตระกูลหวังนานเเล้ว?' เย่วซินเมื่อครั้นได้สติก็ได้แต่ขบคิดด้วยความสงสัยอีกทั้งแปลกใจเป็นอย่างยิ่ง
“นี่แหละขอรับที่ข้าจะสอบถามว่าความจริงแล้วมันคือปราณธาตุใด?” หนิงอ้ายที่สงสัยจึงตั้งใจรอฟังคำตอบจากมารดาของตนให้คลายสงสัยเสียที เยว่ซินที่ระงับความตื่นเต้นได้แล้วจึงตอบกลับไป
“ดวงแสงสีแดงทองที่ปรากฏขึ้น...ตามตำราตระกูลหวังกล่าวว่าเป็นปราณสุริยะธาตุอันเป็นต้นกำเนิดบริสุทธิ์แห่งปราณธาตุไฟทั้งปวงและเป็นปราณธาตุประจำตระกูลหวัง เพียงเเต่ว่าสุริยะธาตุที่นับได้ว่าคือธาตุบริสุทธิ์นี้ไม่ได้ปรากฎในตระกูลหวังเรามาหลายชั่วอายุคนในรอบหลายร้อยปีมาแล้ว ซึ่งปราณธาตุดังกล่าวนี้นับว่าเป็นพลังต้นกำเนิดบริสุทธิ์แห่งปราณธาตุไฟที่ไร้ซึ่งรูปลักษณ์ แต่ทว่าเปลวเพลิงความร้อนนี้กลับร้ายกาจไปไม่ด้อยกว่าเพลิงแท้เเห่งมังกรเลยทีเดียว อีกทั้งยังเต็มเปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายพลังชีวิตที่เข้มข้นยิ่ง!!”
“การที่เจ้ามีสุริยะธาตุอันเป็นต้นกำเนิดบริสุทธิ์แห่งธาตุไฟนี้อาจจะเกี่ยวข้องกับความเป็นมาของต้นตระกูลหวังก็เป็นได้ เพราะว่าผู้ก่อตั้งของตระกูลหวัง เป็นผู้มีวิญญาณยุทธ์มากกว่าหนึ่งและสามารถใช้ได้ถึงสามปราณธาตุนั่นคือสุริยะธาตุ ปราณธาตุไฟและปราณธาตุลม เพียงเเต่ว่าหลายพันปีมานี้ไม่ปรากฎปราณสุริยะธาตุนี้ในตระกูลหวังมานานเเล้ว เพราะโดยปกติส่วนใหญ่ผู้มีเชื้อสายของตระกูลหวังจะเป็นผู้ใช้พลังปราณธาตุไฟแต่เพียงเท่านั้น!”
“การที่ท่านบรรพพชนตระกูลหวังได้มีการส่งต่อหีบสมบัติดังกล่าวนี้จากรุ่นสู่รุ่นและท่านเจาะจงว่าต้องเป็นทายาทในรุ่นที่เก้าเท่านั้นที่ควรค่าแก่การครอบครองสิ่งที่อยู่ในหีบสมบัติ บางทีเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเจ้าก็อาจจะเป็นลิขิตสวรรค์เป็นได้...” เยว่ซินตอบกลับเด็กหนุ่ม พร้อมกับครุ่นคิดอยู่ในใจว่าในเมื่อหนิงอ้ายสามารถปลุกพลังวิญญาณเป็นผู้ฝึกตนได้สำเร็จ อีกทั้งสืบทอดปราณธาตุจากบรรพบุรุษตระกูลหวังเช่นนี้ หากท่านพ่อและทางตระกูลหวังทราบคงดีใจกันเป็นแน่
